เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o ส.ค. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมะเป็นสัจธรรม เวลาพูด พูดเพื่อสัจธรรม พูดเพื่อธรรมไง แต่ถ้าพูดเพื่อประโยชน์ เพื่อประโยชน์มันก็พูดดีคนเดียว ยกตนข่มท่าน ฉะนั้น เวลาฟังเทศน์ๆ ฟังเทศน์หลวงตา หลวงตาจะพูดบ่อย หลวงตาท่านบอกว่า ท่านเป็นพระผู้น้อยมาก่อน ท่านเป็นพระผู้น้อยมาก่อน ท่านบอกนะ ท่านเป็นพระเล็กพระน้อยมาก่อนนะ

เวลาอยู่กับสมเด็จมหาวีรวงศ์ ท่านบอกท่านเป็นตัวแทน ท่านรับผิดชอบหมดน่ะ ในฝ่ายปริยัติท่านก็ดูแลมาหมดแล้ว ท่านดูแลมา ฝ่ายปริยัตินะ เป็นถึงสมเด็จมันมีอำนาจแต่งตั้ง อำนาจแต่งตั้งพวกเจ้าฟ้าเจ้าคุณ มีคนเข้าไปหาผลประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ ท่านบอกว่าท่านเป็นพระผู้น้อยมาก่อน เป็นอุปัฏฐากขององค์สมเด็จมหาวีรวงศ์ สุดท้ายแล้วท่านมาอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านก็บอกท่านเป็นพระผู้น้อยมาก่อน เป็นพระผู้น้อยมาก่อน

คำว่า “เป็นพระผู้น้อยมาก่อน” มันจะผ่านประสบการณ์อย่างที่เราพูดนี่ เป็นพระผู้น้อยมาก่อน เป็นพระผู้น้อยมาก่อนไง แล้วมันมีผู้ใหญ่มาจากไหนถ้ามันไม่เป็นผู้น้อยมาก่อน เด็กมันเป็นผู้น้อยมาก่อนทั้งนั้นน่ะ แต่เป็นผู้น้อยมาแล้ว ฝึกหัดขึ้นมาแล้วมันต้องเอาสิ่งนั้นเป็นคติ

หลวงตาท่านก็พูดอีกล่ะ เวลาท่านบอกท่านธุดงค์ เที่ยวธุดงค์มาทั่ว ถ้าไปที่ไหนนะ ไปเห็นหัวหน้า หัวหน้าเห็นแก่ตัว หัวหน้าเอาเปรียบ ท่านบอกเลย อย่างนี้ไม่ดี อย่างนี้เราต้องไม่ทำนะ อย่างนี้เราไม่ทำ ถ้าไปเจอสิ่งไหนที่ดี ท่านจะซับไว้ สิ่งนี้เป็นดี เป็นแบบฉบับ เป็นตัวอย่าง

สิ่งใดที่ไม่ดีๆ เราพูดแล้วเราไม่ควรทำ เวลาเราพูดกับใครนะว่าสิ่งนั้นไม่ดี สิ่งนั้นไม่ดี เราคุยกันแล้วว่าสิ่งนั้นมันไม่ดี ไม่ดีก็แสดงว่ามันเหมือนสัญญาว่าเราบอกไม่ดีนะ อย่าทำนะ แล้วเราจะทำสิ่งที่ดีๆ ไง เพราะเวลาเราคุยกันใช่ไหม ทางวิชาการใช่ไหม อะไรดี อะไรไม่ดี สิ่งที่ไม่ดีเราก็ไม่ควรทำ จริงไหม ถ้าสิ่งที่ดีๆ สิ่งที่ดีก็ควรทำสิ

ไอ้นี่บอกว่าสิ่งที่ไม่ดีๆ แล้วมันทำทั้งนั้นเลยสิ่งที่ไม่ดี แล้วไอ้ดีๆ มันอยู่ไหนล่ะ

นี่ไง เวลาฟัง คนที่มีสัตย์ คนที่มีสัตย์คือสัจจะ หลวงตาท่านเทศน์ เราฟังแล้วมันซึ้งมากนะ เราเป็นผู้น้อยมาก่อน

ท่านเป็นถึงมหาเถระ เวลาท่านพูดขึ้นมาท่านเตือนพระไง เตือนพวกเรา เราเป็นผู้น้อยมาก่อน เราเป็นผู้น้อยมาก่อน

เป็นผู้น้อยมาก่อนคือเราผ่านประสบการณ์อย่างนี้มาแล้ว เราโดนเขาย่ำยีมาทั้งนั้นน่ะ เป็นพระเล็กพระน้อยขึ้นมา มันเหมือนประชาชน ประชาชนเป็นผู้ใต้ปกครอง ไปขอสิ ไปร้องเรียนสิ่งใดที่ตามความต้องการได้ไหม เราเป็นผู้ใต้ปกครองๆ มาทั้งนั้นน่ะ ใจเขา ใจเรา ใจเขา ใจเราไง นี่ไง เราก็ต้องการใช่ไหม ต้องการผู้ปกครองที่มีกำปั้นใหญ่ มีอำนาจคุ้มครองดูแลเราได้ แต่ถ้ามันกำปั้นใหญ่ถ้ามันมิจฉาทิฏฐิล่ะ

ถ้าเป็นกำปั้นใหญ่เป็นสัมมาทิฏฐินะ โอ้โฮ! มีความสุขความสงบนะ แล้วเวลาเป็นกำปั้นใหญ่ที่มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐินะ ท่านผ่านโลกมามาก ท่านผ่านโลกมามาก เราเป็นผู้น้อย เราเป็นผู้น้อย เราก็คิดว่าเราจะทำสิ่งนั้นๆ โดยเจตนาที่ดี เจตนาที่ดีไง พอเจตนาที่ดีขึ้นไป ไปหาท่าน ไปรายงานท่าน ท่านยันเราหงายท้องเลย เจตนาที่ดี มันประสบการณ์ไม่มีไง ประสบการณ์ไม่มีมันก็อย่างนี้ ประสบการณ์หลวงตาอีกแหละ ท่านบอกไว้เลยนะ ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นมีชื่อเสียงคับทั่วโลก แล้วท่านนุ่งผ้าอาบมันปะๆ ชุนๆ ไง

ด้วยความเจตนาดีของท่าน ท่านเย็บผ้าให้ใหม่แล้วเอาไปเปลี่ยน ท่านไม่ยอมใช้นะ ท่านไม่ยอมใช้ โอ้โฮ! หลวงตาท่านสะอึกเลยนะ นี่ไง ท่านบอกว่าสิ่งที่ท่านทำท่านเจตนานะ อาจารย์ของเรา ท่านเป็นคนอุปัฏฐากอยู่ เวลาท่านพับผ้าของหลวงปู่มั่น แล้วเวลาหน้าหนาวท่านไม่ใช้ผ้าห่มนะ ท่านใช้ผ้าสามผืน เอาจริงเอาจังไง

แล้วหลวงปู่มั่นท่านก็รู้ ท่านก็รู้ ท่านก็เอาผ้าห่มของหลวงปู่มั่น คำว่า “ผ้าของหลวงปู่มั่น” เพราะหลวงตาท่านเป็นคนพับ ท่านเป็นคนพับ เป็นคนจัดการให้ เวลาเอาไปวางไว้ท่านก็จำได้ว่าผ้าของใครไง ท่านบอกว่าถ้าเอาผ้าใหม่ๆ มา ท่านก็อาจจะไม่ใช้ แต่นี่เป็นผ้าที่หลวงปู่มั่นท่านใช้แล้ว แล้วท่านมาบังสุกุลให้ คือท่านมาวางไว้บนที่นอน แล้วผ้านี้ท่านก็เป็นคนพับเอง เป็นคนพับ คนจัดเอง ท่านก็จำได้ เอามาบังสุกุลให้ท่าน ท่านถึงได้ใช้นั่นน่ะ

สิ่งที่เวลาท่านบอกนะ เวลาท่านเจตนาดีๆ ท่านบอกเราเจตนาดีทั้งนั้นเลย แต่เราจะอ้างว่าเจตนาของเราๆ แต่ประสบการณ์เราไม่มี กำปั้นใหญ่ๆ ถ้ากำปั้นใหญ่ ถ้าเขามีเป็นธรรมๆ นะ กำปั้นใหญ่ที่เป็นธรรมนะ มันเป็นธรรม

แล้วของเรานึกว่ากำปั้นใหญ่เป็นธรรม เราก็จะอ้างเลยนะ “เราเป็นผู้อุปัฏฐาก เรามีอำนาจมาใช้ เจตนาดี เจตนาดี”

เจตนาดี เจตนาเพื่อท่านหรือเจตนาเพื่อตัวเอง เจตนาของใคร เวลาเจตนาๆ คำว่า “เจตนาๆ” เจตนาเรามันเจตนาดีๆ แต่เราไม่รอบคอบ เราไม่ชัดเจน มันไม่ได้หรอก นี่พูดถึงเวลาท่านบอกว่าท่านเป็นพระผู้น้อยมาก่อน คำนี้ท่านพูดแล้วเราสะเทือนใจมาก เวลาท่านจะพูดอะไรท่านบอกเป็นพระผู้น้อยมาก่อน

หนึ่ง ท่านเป็นมหาเถระ มีผู้นับหน้าถือตาทั่วประเทศ ทั่วต่างประเทศ ท่านไม่เคยคิดว่าท่านใหญ่โตที่ไหนเลย เวลาท่านพูดท่านจะเตือนพระ เราเป็นผู้น้อยมาก่อน เราเป็นผู้น้อยมาก่อน เป็นบ๋อยกลางเรือนอยู่ที่วัดหนองผือ ท่านเป็นผู้น้อยมาก่อน ความที่เป็นผู้ใหญ่ เป็นพระมหาเถระนั่นน่ะจากสัมมาทิฏฐิ จากความเห็นถูกต้องดีงามของท่าน ท่านทำของท่านมา แล้วท่านกำปั้นใหญ่ๆ กำปั้นใหญ่ท่านคุ้มครองดูแล

เวลากรรมฐานเราไปอยู่ที่ไหน ถ้าใครโดนรังแก ใครโดนกลั่นแกล้งก็วิ่งไปหาท่านให้ท่านช่วยเหลือปกครอง เวลาไปหาท่าน ท่านก็เทศน์ใส่นะ อัดแรงเลย พูดให้ไม่อหังการ เสร็จแล้วท่านก็ไปช่วยใต้ดิน ไปช่วยภายหลัง แต่ต่อหน้าพระมาขอความช่วยเหลือนี่ เปรี้ยงๆ เลย โอ้โฮ! โดนเข้าไปเต็มๆ เลยนะ

ถ้ามาถึงโอ๋เลยนะ มันก็จะไปย่ำเจ้าหน้าที่ มันจะไปย่ำเขานั่นน่ะ

มาถึงนะ ท่านใส่หงายท้องเลยนะ ถ้าเป็นธรรมนะ ท่านดูแลของท่านเอง แต่ถ้าไม่เป็นธรรม ท่านก็ไม่ยุ่งด้วย คำว่า “เป็นธรรม” คือถูกต้องตามกฎหมาย คำว่า “เป็นธรรม” คือว่าเราไม่รังแกใคร คำว่า “เป็นธรรม” เราไม่ฉ้อโกงใคร เราจะเอาความชอบธรรมของเราไปรอนสิทธิ์ของคนอื่นได้อย่างไร ความชอบธรรมมันต้องเป็นความชอบธรรมทั้งสองฝ่ายสิ เราก็ชอบธรรม เขาก็ต้องชอบธรรมด้วย ความชอบธรรม แต่ถ้ามันมีปัญหาขึ้นมาเราไปหาท่านๆ ท่านทำ นี่พระผู้ใหญ่ กำปั้นที่เป็นธรรม กำปั้นที่ไม่เห็นแก่ตัว กำปั้นใหญ่ เรากำปั้นน้อยๆ เราทำของเรา เราต้องมีสติปัญญาของเรา นี่ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้ไง

เราอยากเป็นอย่างนั้น เราอยากมีอำนาจ อยากบริหารจัดการทั้งนั้นน่ะ แล้วจัดการได้ไหม จัดการกิเลสของตนยังไม่ได้เลย ถ้าจัดการกิเลสของตนไม่ได้ หลวงตาท่านเทศน์อีกล่ะ ถ้าติดเราแล้วติดไปหมด

ติดเรา มีตัวตนของเรา แล้วได้อะไร ทำแล้วเราได้อะไร ไม่เคยคิดเลยว่าทำแล้วคนอื่นได้อะไร ทำแล้วสังคมมันมีความร่มเย็นเป็นสุขขนาดไหน ถ้าไม่มีตัวตนของเรา เราทำอะไรก็ได้ ถ้ามีตัวตน ติดเราๆ ถ้าติดเรามันก็ต้องจัดการที่เรานี้ก่อน พยายามจัดการที่เรานี่ เรามีเราหรือเปล่า เรามีความเห็นหรือเปล่า ลำเอียงหรือเปล่า ลำเอียงเพราะรัก ลำเอียงเพราะชัง เราลำเอียงหรือเปล่า เรารู้ปัญหาหรือเปล่า ถ้าเราไม่รู้ปัญหา เราจะจัดการได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ปัญหา ดูสิ ผู้บริหารเขามีบริษัทที่ปรึกษา ถ้าเราไม่ปรึกษาเขา ปรึกษาผู้รู้ๆ คนมันไม่รู้ไปทุกเรื่องหรอก

แต่ถ้ามันจะรู้ได้ ถ้าคนประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจะรู้ได้ มันต้องรู้ได้เรื่องในใจของตน ถ้าเรื่องใจของตน เรารู้เอง อยากอะไร ชอบอะไร รู้ไปหมด ถ้าอยากอะไร ชอบอะไร ก็หักห้ามมันสิ หักห้ามมัน ถ้าหักห้ามมันๆ นั่นน่ะ จะรู้ รู้ตรงนี้ ถ้าไม่ติดตัวเราๆ การประพฤติปฏิบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงสอนมาที่นี่ไง สอนกลับมา สอนกลับมาในใจของตน

งานที่สำคัญที่สุดของพระคือการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย สิ่งที่การกระทำๆ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย การกระทำ การเกิด การแก่ การเจ็บ การตายคืออวิชชา คือความไม่รู้ มันถึงเกิด ถึงแก่ ถึงเจ็บ ถึงตาย แล้วถ้าฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายตรงข้ามถ้ามันมีธรรมะๆ มันจะถอดถอนออกมา ทำลายอวิชชาความไม่รู้แล้วมันจะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ทีนี้ความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอย่างนี้ ตรัสรู้ธรรมอย่างนี้แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ วางธรรมวินัยนี้ไว้ มันเป็นสังคมขึ้นมามันก็มีวินัย มีข้อบังคับ เอื้อเฟื้อในธรรมวินัยนั้น เอื้อเฟื้อในธรรมวินัยนั้น แต่ธรรมวินัยนั้นมันเป็นการรักษาธรรมอันนี้ไว้ไง

งานอันสำคัญคืองานการถอดถอนการเกิดและการตาย เวลามหายานเขาพูดกัน เขาพูด ไม่คุยเรื่องอื่น เรื่องเกิดและเรื่องตายเท่านั้น ทีนี้ของเราเรื่องบุญ ทำแล้วได้อะไร ทำแล้วไปไหน มันแตกแขนงกันไปไง แล้วเวลาบอกว่าไม่เกิด ไม่ตาย โอ๋ย! พูดเรื่องเกินไป มันจะเป็นไปไม่ได้ นรกสวรรค์ก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี

ปฏิเสธได้อย่างไรว่ามันไม่มี เห็นแล้วหรือ เข้าใจแล้วหรือ ถ้ามันไม่มี สวรรค์ในอก นรกในใจ ยืนยันแน่นอนเลย สวรรค์ในอก นรกในใจ เวลาสวรรค์ในอก มีความสุข ความสงบ มันก็มีสวรรค์ เวลานรกในใจมันแผดเผาขึ้นมา มันไม่เป็นไม่ตายหรอก มันแผดเผาอยู่อย่างนั้นน่ะ

สวรรค์ในอก นรกในใจ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นแล้ว ออกจากร่างแล้วมันไปไหน คนที่มันทำกรรมหนักไว้ เวลาออกจากร่างแล้วมันไปไหน ดูสิ เราทำสิ่งใดไว้แล้วเราบอกเราลืม เราไม่นึกถึงมัน เราไม่สนใจมันได้ไหม มันตามหลอกตามหลอนเลย แต่จริงๆ นะ ทำคุณงามความดีไว้มันซับลงไปในหัวใจเป็นทิพย์ๆๆ เป็นทิพย์เพราะเวลามันไปแล้วเป็นทิพย์ของมัน

นรกสวรรค์มีหรือไม่มี สวรรค์ในอก นรกในใจ เวลาจิตออกจากร่างไปมันไปไหน มันต้องมีที่อยู่ของมัน สรรพสิ่งในโลกนี้มันมีเหตุมีผลของมันทั้งนั้นน่ะ มันไม่มีอะไรมาลอยๆ หรอก สิ่งที่ลอยๆ ในโลกนี้ไม่มี มานั่งกันอยู่นี่ก็เพราะมีบุญกุศลทั้งนั้นน่ะ ถ้าไม่มีบุญกุศลไม่ได้เกิดเป็นคน

การเกิด จิตกำเนิด ๔ เกิดเป็นสัตว์ เกิดเป็นแมลง เกิดเป็นอะไร ๗ วัน ๘ วัน ๗ วัน อายุขัยมัน ๗ วัน ไอ้นี่ ๑๐๐ ปีนะ มีสมองด้วย มีความรู้ด้วย สัตว์ประเสริฐด้วย แล้วทำอะไร นี่ไง ถ้ามันเป็นจริง เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เราเห็นภัยในวัฏสงสาร เวลาอยู่ทางโลกปากกัดตีนถีบต้องทำหน้าที่การงานของเรา มาบวชเป็นพระๆ บวชเป็นพระแล้วเราเสียสละมาแล้วนะ เวลาศรัทธาความเชื่อ เราเสียสละมา สิ่งนี้มันเป็นหน้าที่ของฆราวาสเขา ฆราวาสเขา เขาขวนขวายของเขา เขาต้องการบุญกุศลของเขา เขาพอใจที่จะตักบาตร

พระไม่ต้องไปสนใจสิ่งใดเลย เช้าบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง มันมีปัจจัยเครื่องอาศัยอยู่แล้ว หน้าที่ของเราทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนานั่นน่ะ งานของพระๆ อัดเข้าไปสิ งานของตนน่ะ ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พระพุทธศาสนาสอนอย่างนี้ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก็เพราะไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนี้ไง นี่คือตัวธรรมๆ ตัวธรรมแท้ๆ ถ้าธรรมแท้ๆ มันเกิดขึ้นมาแล้ว พ้นจากวัฏฏะๆ พ้นจากธรรมชาติ

จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันหมุนไปตามธรรมชาติของมัน หมุนไปตามธรรมชาติด้วยขั้วบวกขั้วลบ ขั้วบวกคือบุญกุศล ขั้วลบคือบาปอกุศล บุญกุศล บุญบาปนี่ขั้วบวกขั้วลบ แล้วมันหมุนจิตนี้ไปเรื่อยๆ จิตนี้ไปเรื่อยๆ นี่ไง ขั้วบวกขั้วลบมันดันให้พลังงานนี้ไปไง ธาตุรู้ไง แล้วถ้ามันมีสติมีปัญญาขึ้นมา ถ้ามันไม่เกิดไม่ตาย มันทำลายทั้งหมดๆ ทำลายภวาสวะ ขั้วบวกขั้วลบมันตั้งอยู่บนอะไร ตั้งอยู่บนภพ แม้แต่ภพมันไม่มีแล้วอะไรตั้งอยู่บนนั้นน่ะ ถ้าไม่มีอะไรสิ่งใดตั้งอยู่แล้วมันจะไปไหนล่ะ มันไปไหนไม่ได้

นี่ไง ถ้ามันที่นี่ไง ที่ว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ๆ เกิดจากขั้วบวกขั้วลบนี่ ถ้าขั้วบวกมันมีพลังมากกว่ามันก็ได้เกิดดีไง ถ้าขั้วลบมีพลังมากกว่ามันก็เกิดเหมือนกัน ไม่เกิดไม่ได้ ของมีอยู่มันต้องเกิด ไม่ใช่ของไม่มี ของมันมี มีเพราะอะไรล่ะ มีเพราะมีภวาสวะ มันมีธาตุรู้ของมันไง แล้วทำของมันขึ้นไป ทำขึ้นไปถ้ามีสติมีปัญญามันจะย้อนกลับมาที่นี่ไง

ตอนนี้เขากำลังเห่อกัน ทางวิชาการเขาบอกว่าต่อไปเถรวาทจะไปถือมหายานหมดเลย เพราะมหายานเขาปฏิบัติ เถรวาทไม่ได้ปฏิบัติ

มันไม่ได้ปฏิบัติแล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นมาจากไหน มันปฏิบัติทั้งนั้นน่ะ เพียงแต่กิเลสในหัวใจมันมืดบอด มืดบอด กลัวจะไม่มีความรู้ กลัวจะไปคุยโม้ไม่ได้ มันก็ศึกษาธรรมะๆ ก็ศึกษามาให้ปฏิบัติไง ศึกษาแล้วมาปฏิบัติไง ศึกษามาแล้วเรามีครูบาอาจารย์ไง ครูบาอาจารย์ท่านข่มให้ลงปฏิบัติไง ท่านบังคับไง วัวควายเขาต้องมาฝึกมัน หัดงานมัน พอมันเป็นงาน โคที่เป็นงาน ควายที่เป็นงานมันมีราคาไง ควายตู้มันทำอะไรไม่ได้ มันเอาไว้กินหญ้า เอาไว้เชือดเอาเนื้อมันไง

นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์เราท่านบังคับให้ปฏิบัติ ให้ลงทางจงกรม ให้นั่งสมาธิภาวนาให้มันเป็นขึ้นมา แล้วเราก็ไปไม่ได้ แม่ร่องสอน แม่ร่องสอน มันเป็นร่องไว้บังคับสอนช้าง ฝึกหัดช้างเขาใช้แม่ร่องสอนบังคับเข้าสู่ช่องแคบนั้น บังคับให้มันหัดฝึกงาน วัวงานเขาฝึกของมัน เขาฝึกของมัน เขาหัดเทียมเกวียน หัดให้มันยอมการสั่งงาน นี่ไง เขาฝึกๆ มัน แล้วหัวใจเรียนมาๆ เรียนมาก็เป็นเสือมา กำปั้นใหญ่ๆ ยิ่งกำปั้นใหญ่ยิ่งมีการศึกษามาก มีวุฒิภาวะมาก มีอำนาจมาก ตัวตนมันยิ่งใหญ่มาก มันยิ่งทำลายเขามาก

แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ มันทำลายตัวเองแล้วไง ไม่ติดตัวเอง ไม่ติด ไม่มีสิ่งใดเป็นสาระ ไม่มีสิ่งใดเป็นสาระ สอุปาทิเสสนิพพาน ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งใด แต่มีขันธ์อยู่ไง เห็นไหม ฉันอาหารของนางสุชาดาถึงซึ่งกิเลสนิพพาน กิเลสสิ้นไปจากในใจดวงนั้น สิ้นกิเลสนิพพาน ฉันอาหารของนายจุนทะถึงซึ่งขันธนิพพาน ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ของสอุปาทิเสสนิพพาน นี่ไง มันไม่มีสิ่งใดในนั้น มันเป็นประโยชน์ๆ ประโยชน์กับใครล่ะ มันเป็นประโยชน์กับใคร ไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งใดในใจแล้วมันเป็นประโยชน์กับใคร มันเป็นประโยชน์กับโลกก็ชี้นำสิ่งนี้ไง ชี้นำสิ่งหนทางที่เราจะไปไง จิตนี้มันต้องก้าวเดินไป มัคโค ทางอันเอก

ทางโลกเขามีถนนหนทาง มาวัดก็ต้องผ่านถนนหนทางมา ๔ เลน ๘ เลน ตัดให้มันยิ่งกว้างยิ่งมีชื่อเสียงไง ใครมีอำนาจวาสนามากทำสิ่งใดมันประสบความสำเร็จไง ไอ้ของเราไอ้ทางดิน ทางเกวียนน่ะ ทางเกวียนมันต้องขับเคลื่อน ๔ ล้อ ถ้าไม่อย่างนั้นมันไปไม่รอด ของเรา เราใช้ ๒ เท้า ๒ เท้าเดินของเรามา ทำของเราให้ได้ไง ถ้าเกิดประโยชน์มันเกิดอย่างนี้ ถ้าประโยชน์มันเกิดอย่างนี้ มีการกระทำอย่างนี้มันจะเป็นความจริงของเราขึ้นมาไง ถ้าความจริงขึ้นมา ถ้ามันจะทำได้

เวลาพูดกันปากเปียกปากแฉะนะ พูดทางวิชาการ พูดทางวิชาการแล้วมันก็ส่งออก วิชาการ จินตนาการ จินตนาการไปทั้งนั้น ไม่มีตัวจริง ถ้ามีตัวจริงนะ เงียบ เม้มปากเลย อื้อฮือ! มันไม่มีสิ่งใดเปรียบเทียบในโลกนี้ไง ไม่มีหรอก เพียงแต่เวลาพูดถึงมัคโค ทางอันเอก มันก็ ๘ เลน ๑๐ เลนไง ๘ เลน ๑๐ เลนมันก็ขับไว้ให้มันประสานงากันไง มันไม่เป็นประโยชน์ไง แต่ถ้ามันเป็นมรรคของใครล่ะ สติของใคร สมาธิของใคร ปัญญาของใคร มันจะชำระกิเลสในใจดวงนั้น

นี่ไง เขาว่ามหายานคุยเรื่องการเกิดและการตาย การแก้การเกิดและการตายก็ปฏิบัติ เขาปฏิบัติทั้งนั้นน่ะ แต่เถรวาทเรามันหลงตัวเองไปเอง ลืมไป แม้แต่พระเขาทำวิจัยแล้ว ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์เชื่อว่านรกสวรรค์ไม่มี เขาทำวิจัยมา เขาทำวิจัยเลย เราเคยอ่านเจอ วิจัยเลย ๘๐ เปอร์เซ็นต์ไม่เชื่อว่านรกสวรรค์มี พระนะ พระ แล้วมันจะปฏิบัติไหม มันจะทำไหม

แต่ถ้ามันเชื่อไง มันเชื่อเพราะอะไร เพราะทำแล้วไม่สูญเปล่าไง นรกสวรรค์ไม่มีก็ภพนี้ไง ชาตินี้ไง มีอำนาจมีวาสนาก็ของกูๆ ไง แล้วไปข้างหน้าเป็นอย่างไร ข้างหน้ามันเป็นอย่างนี้ มานั่งอยู่นี่มาจากไหน ที่นั่งอยู่นี่มาจากไหน มันต้องมีจริตนิสัยมันได้สร้างของมันมามันถึงมานั่งกันอยู่นี่นะ แล้วข้างหน้าจะไป ไปอย่างไร เพียงแต่เราเกิดมาชาตินี้แล้วมันมีโอกาสแล้ว เป็นปัจจุบันแล้วเราหลงลืมตัวกันไปเองไง ลืมตัวไปถึงเวลาแล้วก็ไปเสียดายโอกาสข้างหน้าไง แต่ถ้ามันทำเดี๋ยวนี้ๆ ไง

ฉะนั้น สิ่งที่เรียนมาๆ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสาธารณะ เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าเป็นธรรมะของเรา เป็นของเรา ไม่ใช่ธรรมชาติ เป็นของเรา แล้วใครรู้ใครเห็นจะเป็นความจริง เป็นความจริงเพราะอะไร เพราะมันไม่หมุนไปตามธรรมชาติ ไม่ไปตามวัฏฏะ วัฏฏะมันเป็นไปอย่างนั้น วัฏฏะมันอยู่ของมันอยู่แล้ว ๓ โลกธาตุมีของมันอย่างนั้น จิตนี้ไปเสวยต่างหาก

ประเทศต่างๆ ในโลกนี้เขาก็มีของเขาอยู่แล้ว เราไปเที่ยวต่างหาก เรานั่งเครื่องบินไป เราไปประเทศนั้นต่างหาก ประเทศมันมีอยู่แล้ว ภพชาติมันมีอยู่แล้ว วัฏฏะมันมีอยู่แล้ว จิตมันเวียนไปต่างหาก เวียนไปด้วยขั้วบวกขั้วลบ ถ้ามันเป็นจริงๆ เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันชำระล้างตรงนี้ไง ถ้าตรงนี้แล้วมันจะเป็นสัจจะเป็นความจริงไง

บอกว่าเถรวาทเขาไม่ได้ปฏิบัติ

เราอ่านหนังสือมา เขาพูดกันว่าเดี๋ยวนี้ในเมืองไทยมันมีหลายนิกายเข้ามาสร้างสำนักปฏิบัติกัน แล้วชาวไทยก็เห่อไปปฏิบัติกัน หลวงปู่มั่นสอนมาเป็นร้อยปีมันไม่รู้จัก ครูบาอาจารย์เราท่านปฏิบัติมาเป็นร้อยๆ ปีแล้วนะ มันไม่รู้ว่ามันไปมุดอยู่ที่ไหน พอมหายานเขามาสร้างวัดกันใหม่ๆ ไปเดินฝึกสติ ไปเดินฝึกสติ เดินย่องกันเป็นแถวเลย สำนักปฏิบัติ แต่ครูบาอาจารย์เราท่านปฏิบัติถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ไม่มีใครรู้ใครเห็น นี่ไง มันเหนือโลก เหนือโลกอย่างนี้ไง

นี่พูดถึงว่าทางโลกๆ ถ้าไม่ติดในตัวเรา พวกเราก็ปฏิบัติกันมา ๓ ชั่ว ๔ ชั่วอายุคนแล้ว เขาบอกว่าเถรวาทไม่ปฏิบัติ เถรวาทมีแต่ทฤษฎี มหายานเขาปฏิบัติ เราอ่านเจอเอง อ่านเจอแล้วแบบว่ามันเป็นคนโง่พูด คนที่มองเฉพาะจุดของตน ไม่ได้มองถึงสังคมพุทธ ไม่ได้มองถึงประเทศไทย ไม่ได้มองถึงวงกรรมฐาน ไม่ได้มองถึงครูบาอาจารย์ของเราที่ประพฤติปฏิบัติมา ไอ้นี่เขาเรียกว่าอึ่งอ่างในกะลา มันอยู่ในสังคมของมัน มันก็วิจัยถึงสังคมของมันไง มันไม่ได้ออกไปสู่แม่น้ำ สู่ทะเล สู่สังคมใหญ่ ถ้าสังคมใหญ่เขาจะรู้ของเขา ถ้ารู้ของเขามันจะเป็นประโยชน์กับเขา ฟังธรรมๆ เพื่อเหตุนี้

เวลาเทศนาว่าการ เทศนาว่าการก็เรื่องหัวใจทั้งนั้นน่ะ เรื่องความรู้สึกนึกคิด เรื่องหัวใจของเรา เรื่องทิฏฐิมานะของเรา แล้วถ้าเราทำของเรา ธรรมๆ เป็นอย่างนี้ ธรรมะ ใจต้องการธรรมะ ใจต้องการสัจธรรมเพื่อให้มีความอบอุ่นในหัวใจของเรา

ร่างกายต้องการอาหาร ต้องการคำข้าว หัวใจของเราต้องการศีลธรรม ศีลธรรมคือความถูกต้องดีงาม แล้วจิตใจให้มันรื่นเริงอาจหาญ ชีวิตนี้ให้มันอาจหาญ สิ่งนั้นมันเป็นเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย จริงๆ แล้วเราต้องหาคุณธรรมในใจของเราด้วยเพื่อหัวใจของเรา เอวัง